เมนู

แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์
และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ
86,000 ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป ก็
เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมหาชนให้เป็นไป
อยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชา
พระสถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่าง
เหินจากบุญ ขอท่านจง ชนทั้งหลายซึ่งทัดทรง
ดอกไม้ตบแต่งร่างกาย เหาะมาทางอากาศเหล่านี้
เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่ง มียศเสวย
อยู่ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลาย
ผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์น่าขนพอง
สยองเกล้า อันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการ
นอบน้อมวันทาพระมหามุนีนั้น กระผมไปจาก
เปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้ไม่
ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนือง ๆ เป็นแน่แท้.

จบ ธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ 10

อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ 10



เรื่องแห่งเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนฺตลกฺขสฺมึ
ติฏฺฐนฺโต
ดังนี้.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพาน ในระหว่างนางรัง
ทั้งคู่ ณ สาลวโนทยาน แห่งมัลลกษัตริย์ อันเป็นที่แวะเวียน ใน
กรุงกุสินารา และทำการจำแนกพระธาตุพระเจ้าอชาตสัตตุ ทรง
ถือเอาการส่วนพระธาตุที่พระองค์ได้ ทรงระลึกถึงพระพุทธคุณ
7 ปี 7 เดือน 7 วัน แล้วให้การบูชาอันโอฬารเป็นไป.
พวกมนุษย์ในที่นั้น นับไม่ได้ประมาณไม่ได้ พากันทำจิต
ให้เลื่อมใส ได้เข้าถึงสวรรค์. ก็บุรุษประมาณ 86,000 คน ในที่นั้น
มีจิตวิปปลาส เพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา และเพราะความเห็น
ผิดที่ตนให้เกิดตลอดกาลนาน ประทุษร้ายจิตของตนแม้ในฐานะ
อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แล้วเกิดในหมู่เปรต. ภรรยา ธิดา
ลูกสะใภ้ของกฏุมพี ผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์
นั้นนั่นเอง มีจิตเลื่อมใส พากันคิดว่า จักถวายบูชาพระธาตุ จึง
ถือเอาสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น เริ่มไปยังที่บรรจุ
พระธาตุ. กฏุมพีนั้นคิดว่า จะประโยชน์อะไรด้วยการบูชากระดูก
จึงดูหมิ่นพระธาตุเหล่านั้น พากันไปในการบูชาพระธาตุ. หญิงเหล่านั้น
ก็ไม่เชื่อคำของกฏุมพีนั้น พากันไปในที่นั้น กระทำการบูชาพระธาตุ
มายังเรือนถูกโรคเช่นนั้นครอบงำ ไม่นานนักก็ทำกาละไปบังเกิด
ในเทวโลก. ส่วนกุฎมพีนั้นถูกความโกรธครอบงำ ไม่นานนักทำ
กาละแล้ว ไปบังเกิดในหมู่เปรตเพราะบาปกรรมนั้น.
ภายหลังวันหนึ่ง ท่านมหากัสสปะปรุงแต่งอิทธาภิสังขาร
โดยประการที่พวกมนุษย์เห็นเปรตเหล่านั้น และเทวดาเหล่านั้น

ก็ครั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว ยืนอยู่ที่ลานเจดีย์ ถามเปรตผู้ติเตียน
พระธาตุนั้นด้วย 3 คาถา เปรตนั้น ได้พยากรณ์แก่ท่านแล้ว.
พระเถระถามว่า :-
ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป
และหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปากอันมีกลิ่น
เหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนทำอะไรไว้ เพราะ
การฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้น นายนิรยบาลคือ
เอาศาตรามาเฉือนปากของท่านเนือง ๆ รดท่าน
ด้วยน้ำแสบด้วยเชือดเนื้อไปพลาง ท่านทำกรรม
ชั่วอะไรไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ หรือ เพราะวิบาก
แต่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบความทุกข์
อย่างนี้.

เปรตนั้นตอบว่า:-
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อนกระผมเป็น
อิสรชนอยู่ที่กรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์มีภูเขา
ล้อมรอบ (เบญจคีรีนคร) เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์
และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปราม
ภรรยา ธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากัน
นำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่า
มิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้
แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์

และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ
86,000 ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป
ก็เมื่อการบูชา และการฉลองพระสถูปของพระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมหาชนให้เป็นไป
อยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชาพระ-
สถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้น พึงห่างเหิน
จากบุญ ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่ง
ทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกาย เหาะมาทางอากาศ
เหล่านี้ เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศ
เสวยอยู่ ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชน
ทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์
น่าขนพองสยองเกล้า อันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อม
ทำการนอบน้อม วันทาพระมหามุนีนั้น กระผม
ไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็น
ผู้ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองนิตย์เป็น
แน่แท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุคฺคนฺโธ ได้แก่ ผู้มีกลิ่นไม่น่า
ปรารถนา. อธิบายว่า มีกลิ่นเหมือนกลิ่นซากศพ. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป. บทว่า ตโต ความว่า
นอกเหนือจากกลิ่นเหม็นฟุ้งไปและถูกหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกิน.

บทว่า สตฺถํ คเหตฺวาน โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า สัตว์
ทั้งหลายถูกกรรมตักเตือน จึงเอาศาตราอันลับคม ผ่าปากแผลนั้น
บ่อย ๆ. บทว่า ขาเรน ปริปฺโผสิตฺวา โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า
ถูกรดด้วยน้ำแสบในที่ที่ถูกผ่าแล้วก็เชือดเนื้อไปพลาง.
อิสฺสโร ธนธญฺญสฺส สุปหูตสฺส ความว่า เป็นใหญ่ คือ
เป็นเจ้าของทรัพย์และธัญญาหารมากมายยิ่ง อธิบายว่า เป็นคน
มั่งคั่งมีทรัพย์มาก.
บทว่า ตสฺสายํ เม ภริยา จ ธีตา จ สุณิสา จ ความว่า ใน
อัตภาพก่อน ผู้นี้เป็นภรรยา เป็นธิดา เป็นลูกสะใภ้ของกระผม
นั้น. เปรตกล่าวแสดงว่า หญิงเหล่านั้นเป็นเทวดายืนอยู่ในอากาศ.
บทว่า ปจฺจคฺฆํ แปลว่า ใหม่. บทว่า ถูปํ หรนฺติโย วาเรสึ
ความว่า ข้าพเจ้าติเตียนพระธาตุห้ามหญิงเหล่านั้นผู้น้อมเข้าไป
เพื่อบูชาพระสถูป. ด้วยคำว่า ตํ ปาปํ ปกตํ มยา นี้ เปรตถึงความ
เดือดร้อน กล่าวว่า ความชั่วในการติเตียนพระธาตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้กระทำ คือประพฤติอยู่เสมอ.
บทว่า ฉฬาสีติสหสฺสานิ ได้แก่ ประมาณ 86,000 คน.
เปรตกล่าวร่วมเปรตเหล่านั้นกับตนว่า มยํ. แปลว่า พวกเรา. บทว่า
ปุจฺจตฺตเวทนา ได้แก่ ทุกขเวทนาที่กำลังครอบงำอยู่เป็นแผนก ๆ. ด้วย
บทว่า นิรเย เปรตกล่าวเปตวิสัยให้เหมือนกับนรก เพราะมีทุกข์หนัก.

บทว่า เย จ โข ถูปปูชาย วตฺตนฺเต อหรโต มเห ความว่า เมื่อการ
ฉลอง การบูชา อุทิศสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น
ไปอยู่ ชนเหล่าใดประกาศอาทีนพ คือ โทษ ในการบูชาพระสถูป
เหมือนข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายพึงเลือกเฟ้นบุคคลเหล่านั้นจากบุญ
นั้น. เปรตประกาศความที่ตนเป็นผู้เสื่อมใหญ่ โดยอ้างผู้อื่นว่า
พึงยังบุคคลเหินห่างจากบุญให้เกิด.
บทว่า อายนฺติโย แปลว่า ผู้มาทางอากาศ. บทว่า
มาลาวิปากํ ได้แก่ วิบาก คือผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ที่ทำไว้
ในพระสถูป. บทว่า สมิทฺธา ได้แก่ สำเร็จด้วยทิพยสมบัติ.
บทว่า ตา ยสสฺสิโน ได้แก่ หญิงเหล่านั้นมีบริวาร.
บทว่า ตญฺจ ทิสฺวาน ความว่า เห็นผลพิเศษอันโอฬารยิ่ง
อันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ให้เกิดขนพองสยองเกล้า ของบุญอันเกิด
จากการบูชาอันนิดหน่อยยิ่งนักนั้น. บทว่า นโม กโรนฺติ สปฺปญฺญา
วนฺทนฺติ ตํ มหามุนึ
ความว่า ข้าแต่ท่านกัสสปะผู้เจริญ หญิงเหล่านี้
ย่อมไหว้ย่อมอภิวาท อธิบายว่า กระทำการนอบน้อม และกระทำ
นมัสการท่านผู้เป็นบุญเขตอันสูงสุด.
ลำดับนั้น เปรตนั้นมีใจสลด เมื่อจะแสดงกรรมที่ตนพึง
การทำต่อไป อันควรแก่ความสลดใจ จึงกล่าวคาถาว่า โสหํ นูน
ดังนี้เป็นต้น. คำนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น.

ท่านพระมหากัปปะผู้อันเปรตกล่าวอย่างนี้ จึงกระทำ
เรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แสดงธรรมแก่บริษัท ผู้ถึงพร้อม
แล้ว.
จบ อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ 10

จบ ปรมัตถทีปนี

อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ
จูฬวรรคที่ 3 ประดับด้วยเรื่อง 12 เรื่อง
รวมเรื่องที่มีในวรรคนี้คือ
1. อภิชชมานเปตวัตถุ 2. สานุวาสีเถรเปตวัตถุ 3. รถการี-
เปตวัถุ 4. เปตวัตถุ 5. กุมารเปตวัตถุ 6. เสรินีเปติวัตถุ
7. มิคลุททกเปตวัตถุที่ 1 8. มิคุททกเปตวัตถุที่ 2 9. กูฏ-
วินิจฉยิกเปตวัตถุ 10. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ.
จบ จูฬวรรคที่ 3

มหาวรรคที่ 4



1. อัมพสักขรเปตวัตถุ



ว่าด้วยเปรตถูกเสียบอยู่ปลายหลาว



[121] มีนครของชาววัชชีนครหนึ่งนามว่าเวสาลี
ในนครเวสาลีนั้น มีกษัตริย์ลิจฉวีทรงพระนามว่า
อัมพสักขระ ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนหนึ่ง
ที่ภายนอกพระนคร มีพระประสงค์จะทรงทราบ
เหตุ จึงตรัสถามเปรตนั้นในที่นั้นนั่นเองว่า การ
นอน การนั่ง การเดินไปดินมา การลิ้ม การดื่ม
การเคี้ยว การนุ่งห่ม แม้หญิงบำเรอของบุคคล
ผู้ถูกเสียบไว้บนหลาวนี้ ย่อมไม่มี ชนเหล่าใด
ผู้เป็นญาติ เป็นมิตรสหาย เคยเป็น เคยฟังร่วม
กันมา เคยมีความเอ็นดูกรุณา ของบุคคลใด มีอยู่
ในกาลก่อน เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นแม้จะเยี่ยมเยียน
บุคคลนั้นก็ไม่ได้ บุรุษนี้มีตนอันญาติเป็นต้นสละ
แล้ว มิตรสหายย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ตกยาก พวก
มิตรสหายทราบว่าผู้ใดขาดแคลน ย่อมละทิ้งผู้นั้น
และเห็นใครมั่งคั่งบริบูรณ์ ก็พากันไปห้อมล้อม
คนที่มั่งคั่งด้วยสมบัติย่อมมีมิตรสหายมา ส่วน